Thursday, 18 April 2024

7 วัตถุโบราณในตำนาน ประวัติศาสตร์กับเรื่องราวที่ยังเป็นปริศนาถึงปัจจุบัน

08 Sep 2022
534

ในตํานานเรื่องเล่าที่เก่าแก่มักจะพูดถึงอาวุธทรงอิทธิฤทธิ์หรือของวิเศษศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่า แต่บางครั้งเราก็ เกิดความสงสัยว่าสิ่งของในตํานานเหล่านั้นมีพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างที่เล่าลือกันจริงหรือไม่?  และสิ่งของศักดิ์สิทธิ์หรืออาวุธทรงอนุภาพบางชิ้น ก็มีที่มาที่ไปลึกลับ เป็นปริศนาที่นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นหาความจริง เราจะพาไปพบกับ 7 วัตถุโบราณในตํานาน กับเรื่องราวที่ยังเป็นปริศนาจนถึงปัจจุบันครับ

7 วัตถุโบราณในตำนาน

หอกลองกินุส

1. หอกลองกินุส

หอกลองกินนุส ในพระวรสารฉบับนักบุญนิโคดามูส บันทึกไว้ว่า เมื่อพระเยซูถูกตรึง กางเขน มีนายทหารชาวโรมัน กาลิอัส คาสเซียส ลองกินุส ซึ่งตาใกล้จะบอดรับหน้าที่ใช้หอกแทงสีข้างพระเยซู เพื่อพิสูจน์ว่าสิ้นพระชนม์หรือยัง ว่าเลือดของพระองค์กะเซ็นมาถูกลองกินุส ทําให้ตาที่มืดมัวกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ลองกินุสจึงเกิดความศรัทธาและเข้าเป็นนักบวชในคริสต์ศาสนา ต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญลองกินุส ส่วนหอกที่ใช้แทงพระเยซูได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหอกศักดิ์สิทธิ์ นอกจากชื่อหอก Longinus แล้ว ยังถูกเรียกว่า หอกแห่งโชคชะตา spear of destiny หอก ศักดิ์สิทธิ์ holy spear หอกแห่งพระคริส หรือหอกสังหารพระเจ้า

หอกเล่มนี้หายไปจากประวัติศาสตร์พักใหญ่และตกเป็นของจักรพรรดิ Constantine ที่หนึ่งแห่งจักรวรรดิโรมัน ผู้วางรากฐานให้ศาสนาคริสต์ กลายเป็นศาสนาประจําชาติโรมันได้สําเร็จ ซึ่งพระองค์เชื่อว่าเป็นเพราะพลังแห่งหอกลองกินุส พระองค์จึงตอกตะปูศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ตรึงกางเขน พระเยซู ลงไปตรงกลางใบหอก เพื่อเพิ่มอํานาจพิเศษด้วย ต่อมาหอกตกเป็นของพระเจ้าชาร์ลเลอมาน มหาราช ผู้ก่อตั้งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ก็เชื่อว่าเป็นเพราะอนุภาพของหอกลองกีนุชเช่นกัน ปัจจุบันหอกศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ถูกเก็บรักษาไว้ในพระราชวัง ฮอฟบวร์ก เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ ท่ามกลางข้อสงสัยว่า หอกลองกินนุชนี้มีพลัง ศักดิ์สิทธิ์ทรงอํานาจจริงหรือไม่? หรือเป็นเพียงแค่ตํานานเล่าขานเท่านั้น เพราะ Hitler ที่ได้ครอบครองหอกแต่กลับต้องพ่ายแพ้สงคราม แต่ชื่อของหอก Longinus ยังไปปรากฏอยู่ในภาพยนตร์และเกมชื่อดัง ในฐานะศาสตราศักดิ์สิทธิ์ วัตถุโบราณในตํานาน

กริช วัชระ

2. กริช วัชระ

กริช วัชระ หรือครูบาร์ หรือกีฬา เป็นอาวุธปราบมารในตํานานของท่านกูรู รินโปเช ลามะศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวธิเบตยกให้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ สอง เนื่องจากท่านเป็นผู้ที่นําศาสนาพุทธวัชรญาณ มาเผยแพร่ในภูฏานได้สําเร็จ ตามตํานานเล่าว่า เมื่อครั้งที่ท่านกูรู ริมโปเชกําลังบําเพ็ญตะบะบนยอดเขาแห่งหนึ่งในทิเบต พลังอันแก่กล้าของท่านทําให้มองเห็นว่า ในดินแดนห่างไกล มีปีศาจตนหนึ่งกําลังทําร้ายมนุษย์ และหมอผีไม่สามารถต่อกรได้ ท่านจึงได้เรียกชายาของท่านมาแปลงร่างเป็นนางเสือ พาท่านเหาะลงมายังถ้ำในเมืองพาโร และบําเพ็ญเพียรสร้างกริช วัชระขึ้นมาเล่มหนึ่ง ให้มีพลังอํานาจ แกร่งกล้า จนสามารถปราบปีร้ายได้สําเร็จ

หลังจากการปราบมารในครั้งนั้น ทําให้ถ้ำที่ท่านบําเพ็ญเพียร มีลามะและผู้แสวงบุญมากมาย เดินทางมาบําเพ็ญเพียรที่ถ้ำแห่งนี้ จนกระทั่งเกือบหนึ่งพันปีให้หลัง จึงมีการสร้างวัดทักซังขึ้น ส่วนกริชศักดิ์สิทธิ์ก็ยัง เก็บไว้ในถ้ำที่ท่าน กูรู ดินโปเช เคยบําเพ็ญเพียร ความพิเศษของกริช วัชระ คือการเอาสายฟ้า อาวุธของพระอินทร์มารวมเข้ากับกริช กลายเป็นสิ่งที่มีพลานุภาพ เป็นการเชื่อมกันระหว่างสามโลก คือสวรรค์โลกมนุษย์ และโลกแห่งวิญญาณ ลามะมักจะนํากริช วชิระติดตัวไปบําเพ็ญเพียรในถ้ำ โดยใช้ปลายกริชขีด ไปบนพื้นที่รอบๆเพื่อทําเขตแดนป้องกันสิ่งชั่วร้ายหรือใช้ปลายกริชเขียนยันต์เนื่องจากส่วนปลายของกริช วัชระ จะทําเป็นสามด้านหรือสามคม เพื่อดึงพลังของสามโลกมารวมไว้ในกริช ส่วนหัวจะแกะสลักเป็นรูปหน้าองค์เทพที่ดูแลสามโลก หรือองค์เทพอื่นๆ จึงถือว่า กริช วัชระ เป็นเครื่องรางชั้นสูงของทิเบตและเนปาล รวมทั้งมีความเชื่อว่าเป็นอาวุธทรงพลานุภาพมากที่สุดชิ้นหนึ่ง ปัจจุบันกริช วัชระ ที่เชื่อว่าเป็นของท่านกูรู ดินโปเชยังถูกเก็บรักษาไว้ ในถ้ำเสือ วัดทักซัง ประเทศภูฏาน โดยจะเปิดให้ผู้ศรัทธาเข้าสักการะปีละครั้งเท่านั้น

มีดสั้นของฟาโรห์ ตุตันเมน

3. มีดสั้นของฟาโรห์ ตุตันเมน

มีดสั้นของฟาโรห์ ตุตันคาเมน ฟาโรตุตคาเมน หรือตูตันคามุน ยุวกษัตริย์ฟาโรห์ลําดับที่สิบแปดของราชวงศ์อียิปต์ยุคอณาจักรใหม่ เรื่องราวชีวิตของพระองค์เต็มไปด้วยปริศนา นับตั้งแต่ปริศนากาลสิ้นพระชนม์ คําสาปแห่งสุสานฟาโรห์ หรือแม้แต่มีดสั้นคู่กายที่พบในหลุมพระศพ ในปี 1945 นักโบราณคดีอังกฤษ ค้นพบมีดสั้นสองเล่มในโลงศพของฟาโรตุตันคาเมน เล่มแรกทําจากโลหะคล้ายเหล็ก ส่วนเล่มที่สองทําจากทองคํา คมของมีดทั้งสองเล่ม ไม่เกิดสนิมเลย แม้แต่นิดเดียว ทําให้นักวิทยาศาสตร์เกิดความสงสัย แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อทีมนักวิจัยของพิพิธภัณฑ์อิตาลีและอียิปต์ ทําการตรวจสอบ มีดสั้นเล่มแรก โดยใช้เทคนิค non evasive x-ray และผลที่ได้ก็สร้างความตกตะลึงให้กับทีมนักวิจัย

เพราะมีดสั้นของฟาโรห์ตุตันคาเมน มีองค์ประกอบของธาตุเหล็ก นิกเกิลและโคบอล ซึ่งตรงกับฐานข้อมูลของแร่ธาตุที่พบในอุกกาบาตที่ตกลงมายังโลก ซึ่งเคย พบที่เมืองมาซามา ทรู เมืองท่าในประเทศอียิปต์ โดยในสมัยอียิปต์โบราณมีความเชื่อว่า วัตถุที่ตก มาจากฟากฟ้าย่อมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สมควรแก่การเคารพบูชา จึงเป็นไปได้ที่ชาวอียิปต์ในขณะนั้น เอาชิ้นส่วนของอุกกาบาตไปตีเป็นมีดสั้นให้กับฟาโรห์ และใส่ลงไปในโรงพระศพ ตามความเชื่อว่าจะใช้เป็นอาวุธป้องกันพระองค์ในโลกหน้าได้  มีดสั้นของฟาโรห์ตุตันคาเมนที่ทําจากวัตถุนอกโลกเล่มนี้ มีความยาว 34.2 เซนติเมตร มีฝักมีดทําจากทองคําแท้ และแกะสลักลวดลายอย่างสวยงาม โดยฝีมือช่างที่มีทักษะสูง ปัจจุบันถูกจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์อียิปต์ในกรุงไคโร

คำภีร์ ไบเบิล ปีศาจ

4. คำภีร์ ไบเบิล ปีศาจ

Code Gigas หรือในภาษาอังกฤษหมายถึงหนังสือเล่มยักษ์ เป็นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือโบราณมีขนาดความสูงของเล่ม 92 เซนติเมตร กว้าง 50 เซนติเมตร และหนา 22 เซนติเมตร มีน้ําหนักมากถึง 75 กิโลกรัม หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นในช่วงประมาณคริสตวรรษที่ 13 ในราชอาณาจักรโบฮิเมียซึ่ง ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณะรัฐเช็ก ความลึกลับของหนังสือเล่มนี้ นอกจากขนาดที่ใหญ่ โตมโหฬารของมันแล้ว ยังเชื่อกันว่า ผู้ที่เขียนหนังสือเล่มนี้คือนักบวชแห่งโพลาซิเซ นักบวชนอกรีตที่กําลังจะถูกลงโทษประหารชีวิต เนื่องจากบาปที่เขาก่อขึ้น เขาพยายามร้องขอล้างบาปด้วยการเขียนตําราเล่มหนึ่งภายในคืนเดียว เป็นตํารารวบรวมองค์ความรู้ที่หลากหลายบนโลกใบนี้ แต่เขานั้นไม่สามารถ เขียนตําราได้จบภายในคืนเดียว จึงขอความช่วยเหลือจากซาตาน และเขียนภาพของซาตานขนาดใหญ่ ไว้ที่หน้า 290 ของหนังสือ เพื่อขอบคุณซาตาน ปัจจุบันคําภีร์ ไบเบิ้ล ปีศาจเล่มนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ กรุงสตอกโฮม ประเทศสวีเดน 

ดาบ ฮอนโจ มาซามูเนะ

5. ดาบ ฮอนโจ มาซามูเนะ

โอกาซากิ มาซามูเนะ หรือ โกโร่ นิวโด มาซามูเนะ ได้รับการยกย่องให้เป็นช่างตีดาบมือหนึ่งในตํานานของญี่ปุ่น ที่มีผลงานโดดเด่นในช่วงปลายสมัยคาร์มาคูระ ดาบทุกเล่มที่เขาตีขึ้นจะมีชื่อเสียงในเรื่องของความสง่างามและคุณภาพสูง โดยเฉพาะดาบฮอนโจมาซามูเนะ ซึ่งสมบัติอันล้ำค่าของโชกุนโทคุกนาวะ ในสมัยเอโดะ เป็นดาบที่ถูกส่งทอดจากรุ่นสู่รุ่นของตําแหน่งโชกุนนับเป็นดาบที่แข็งแกร่งที่สุด เท่าที่ประเทศญี่ปุ่นเคยสร้างมา 

ม้วนหนังสือเดดซี

6. ม้วนหนังสือเดดซี

Dead Sea Scrolls หรือม้วนหนังสือ Dread Sea เป็นม้วนกระดาษโบราณจํานวนกว่าเก้าร้อยม้วนที่สันนิษฐานว่าเขียนขึ้น เมื่อราวสี่ร้อยปีก่อนคริสตกาล ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี 1947 ที่ถ้ำคุม ลาน ของอิสราเอลใกล้ทะเลสาบ Dead Sea ทะเลสาบน้ําเค็มที่มีความลึกมากที่สุดในโลก ปริศนาของม้วนหนังสือเดดซีมีอยู่มากมายตั้งแต่ตัวคนเขียน ซึ่งไม่ทราบแน่ชัด แต่นักวิชาการบางคนเชื่อว่า ม้วนหนังสือนี้เขียนโดยคณะนักบวช Scene ซึ่งเป็น ซึ่งเป็นคณะนักบวชโบราณในศาสนายูดากลุ่มหนึ่ง ที่ชอบปลีกวิเวกอยู่โดดเดี่ยว และหายสาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์เป็นเวลากว่าสองพันปีมาแล้ว ข้อความส่วนใหญ่ในม้วนหนังสือ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา ซึ่งนักโบราณคดีส่วนใหญ่เชื่อว่า ม้วนหนังสือเดดซีคือคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับเก่าแก่ที่สุดของโลกเท่าที่เคยค้นพบมา และยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในการค้นพบทางโบราณคดี ที่สําคัญที่สุดในศตวรรษที่ 20 อีกด้วย 

ผ้าห่อศพแห่งตูริน

7. ผ้าห่อศพแห่งตูริน

ผ้าห่อศพแห่งตูรินถูกเชื่อว่าเป็นผืนผ้าที่ใช้ห่อพระศพของพระเยซูถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี 1357 ที่เมืองไรรี่ ประเทศฝรั่งเศส สิ่งที่ทําให้ผ้าลินินผืนนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายไปทั่วโลก คือเมื่อปี 1898  มีการถ่ายภาพผืนผ้าเป็นครั้งแรก โดยถ่ายแบบภาพ neative ทําให้ปรากฏภาพใบหน้าของพระเยซูอย่างชัดเจน และยังมีรอยคราบเลือดที่สอดคล้องกับตําแหน่งที่พระเยซูบาดเจ็บจากการถูกตรึงกางเขนด้วย ชาวคริสต์จํานวนมากจึงศรัทธาและเชื่อว่าผ้าผืนนี้ คือผ้าห่อพระศพของพระเยซูของจริง แม้จะมีความเป็นไปได้สูงว่า ผ้าห่อศพแห่งตูรินจะเป็นของปลอมที่อาจทําขึ้นใหม่เพื่อบูชาในช่วงศตวรรษที่ 14 แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถสรุปอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า เป็นการทําเลียนแบบหรือไม่ เนื่องจากผลการทดสอบทางเคมีชี้ว่ามีสารประกอบเหล็กออกไซด์ในผ้า ซึ่งอาจมาจาก หรือเลือดของมนุษย์ก็ได้ ผ้าห่อศพแห่งตูรินจึงยังเป็นปริศนารอการคลี่คลายอยู่ ปัจจุบันผ้าห่อศพแห่งตูริน ถูกเก็บรักษาไว้ในกรอบอย่างดี และได้รับการปกป้องด้วยเทคโนโลยีที่ ล้ำสมัย ในวิหาร St Johnthepes ของเมืองตูริน ประเทศอิตาลี

สนับสนุนบทความโดย :: sa1688