แคปปาโดเชีย ถ้ำหน้าผาหินมหัศจรรย์ในประเทศตุรกี อดีตแหล่งรวมที่อยู่อาศัยของชุมชนมนุษย์ถ้ำกว่า 20,000 คน ซึ่งไม่ได้มีถ้ำแต่เพียงอย่างเดียวแต่ยังขุดเจาะลงไปใช้ชีวิตกันอยู่ใต้ดินอีกด้วย ที่นี่เป็นมรดกโลกที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้จริงๆ วันนี้เรา storymaker จะพาไปติดตามกันได้ใน แคปปาโดเชียชีวิตใต้ดินแสนมหัศจรรย์
แคปปาโดเชีย ถ้ำหน้าผาหินมหัศจรรย์
1. ถ้ำมหัศจรรย์ศูนย์รวมชุมชน
หากเอ่ยถึงถ้ำจินตนาการของคนทั่วไปมักจะคิดถึงที่อยู่ของค้างคาวหรือหินงอกหินย้อย แต่มีสถานที่แห่งหนึ่ง มหัศจรรย์ยิ่งนักนั่นคือที่ผาหินแคปปาโดเชีย เพราะที่นี่อดีตเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ โดยถ้ำต่างๆจะถูกมนุษย์ในเวลานั้นขุดเข้าไปในกรวยและผาหินแคปปาโดเชีย เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยและที่น่าอัศจรรย์ยิ่งที่อุณหภูมิ ณ จุดนี้ จะคงที่ตลอดปี จึงช่วยปกป้องความร้อนในฤดูร้อนที่ร้อนจัดหรือความหนาวในฤดูหนาวที่หนาวจัดได้ดี
ว่ากันว่าภายในเขาหินแห่งนี้มีชุมชนหนึ่งที่เรียกว่า กุชิชา มีผู้อยู่อาศัยรวมกันกว่า 1,000 คน โดยแต่ละครอบครัวจะอาศัยอยู่ตามช่องชั้นต่างๆที่เรียงรายเชื่อมต่อถึงกัน ยิ่งไปกว่านั้นในอดีตมีชาวแคปปาโดเชียอีกจํานวนมากถึง 20,000 คน ที่อาศัยอยู่ที่นี่ โดยพวกเขาจะอยู่ในเมืองขนาดใหญ่ใต้ดิน ซึ่งมีห้องมากมายเชื่อมต่อกันในอุโมงค์แคบๆโดยใช้บันไดทอดจากชั้นหนึ่งไปยังอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ร่วม 20 ชั้น
เขาจึงให้ชื่อเมืองนี้ว่า เดอรินกูยู หรือแปลว่า บ่อลึก เมืองนี้ไม่ได้มีเฉพาะที่พัก แต่ยังมีโรงครัว ปล่องระบายลม ท่อระบายน้ำ เครื่องคั้นองุ่น ห้องเก็บเหล้าองุ่น คอกม้าพร้อมรางอาหาร โบสถ์ สุสาน โดยแต่ละห้อง จะใช้ตะเกียงน้ำมันให้แสงสว่าง ที่เป็นเช่นนี้ เพราะที่นี่เป็นสถานที่ลี้ภัยใต้ดินมาก่อน เมื่อโดนข้าศึกโจมตีก็จะปิดไฟ และใช้หินปิดปากถ้ำเพื่อความปลอดภัย
2. เมืองมหัศจรรย์
แคปปาโดเชียปัจจุบันตั้งอยู่ที่แถบอูร์กุบ และ Goreme ในบริเวณตุรกีตอนกลาง ห่างไปจากเมืองหลวงอย่าง กรุงอังการ่า ประมาณ 300 กิโลเมตร หรือใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 4 ชั่วโมง แต่จะอยู่ใกล้ เมืองไกเซอรี่ ประมาณ 70 กิโลเมตร ซึ่งมีชื่อเสียงเล่าลือในหมู่นักท่องเที่ยวทั่วโลกด้านภูมิทัศน์ที่โดดเด่น ทั้งยังแฝงความแปลกพิศดารอย่างเกินคาดเอาไว้อีกด้วย
หลายคนที่ไปชมสถานที่แห่งนี้เมื่อมองไปยังหินรูปกรวย รูปทรงต่างๆ บางจุดก็เสมือนเห็ดรูปร่างแปลกๆหรือมองดูคล้ายคนใส่เสื้อคลุมสวมหมวกเอียงๆยังมีสีสันที่ต่างกัน โดยมีทั้งสีครีมเข้ม ชมพู แดง ฟ้าๆ หรือเทาอ่อนเรียงรายอยู่เบื้องหน้า
ไม่ต่างจากดินแดนแห่งเทพนิยายเลยทีเดียว มีตํานานเล่าขานว่า กลุ่มกรวยหินเหล่านี้ ในอดีตเคยมีกองโจรคอยล้อมปล้นคน บรรดาผู้เคราะห์ร้าย จึงพากันสวดอ้อนวอนพระอัลเลาะห์ จนในที่สุดพระองค์ก็สาปให้โจรเหล่านั้นกลายเป็นหิน ประติมากรรมหินเหล่านี้ ตั้งอยู่บนที่ราบสูง ใกล้ภูเขา Erciyes ที่มีความสูง 3,916 เมตร ซึ่งเป็นภูเขาไฟ ที่สงบลงแล้ว แต่ในอดีตนั้น มีการระเบิดอย่างรุนแรงและพ่นเถ้าถ่าน ไปทั่วในบริเวณกว้าง และต่อมาเมื่อเถ้าถ่านนั้นเย็นลง แข็งตัวกลายเป็นหินปูนหนาสีขาว นี่น่าจะเปลี่ยนจุดกําเนิดของกรวยหินเหล่านี้
3. มนุษย์แต่งเติมให้ดูแปลกยิ่งขึ้น
แหล่งรวมกรวยหินเหล่านี้ปกติก็ดูแปลกมากๆแล้วยิ่งมีมนุษย์มาเจาะประตูหน้าต่างเพิ่ม ยิ่งทําให้ดูมหัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปอีก ว่ากันว่าจนถึงศตวรรษที่ 20 ที่นี่ก็ยังมีผู้คนอาศัยอยู่ ทั้งยังขยายเพิ่มขึ้นด้วย โดยผู้อยู่อาศัยได้ขุดเจาะ ขยายถ้ำในส่วนที่เป็นหินเนื้ออ่อน ขยายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีการเล่าขานกันมาว่า การขุดเจาะนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงประมาณ 2,000ปีก่อนคริสตกาล
เมื่อชาวถ้ำถูกชาวฮิตไทต์ จากทางตะวันออกมารุกรานทำให้พวกเขาต้องขุดเจาะถ้ำให้ลึกเข้าไปอีก ใช้เป็นที่เก็บเสบียงและสัตว์เลี้ยงรวมทั้งเป็นที่หลบภัย ที่นี่จึงเสมือนเมืองใต้ดินที่มีขนาดใหญ่ ปกติแล้วกลุ่มคนที่อยู่ ณ จุดนี้ต่างต้องการอยู่อย่างสงบแต่ก็มีคริสต์ศาสนาเข้าไปเผยแพร่อย่างรวดเร็วประกอบกับในปลายศตวรรษที่ 4 นั้นมีพระและแม่ชีกลุ่มเล็กๆได้เดินทางเข้าไปและช่วยกันสร้างวัดและสํานักชีพร้อมที่พัก ครัว และโรงอาหารตามโพรงถ้ำ รวมถึงผาหินขึ้น
ต่อมาก็ได้ขยายเพิ่มขึ้นจนมีโบสถ์วิหารเกิด ณ สถานที่แห่งนี้ถึง 400 แห่ง โดยแต่ละแห่งได้ตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงามว่ากันว่านักบวชจะขุดสร้างโบสถ์ด้วยเสามีห้องใต้ดินและหลังคารูปโดม ที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมา
4. ขึ้นเป็นทะเบียนมรดกโลก
กรวยหินแคปปาโดเชียหรือแบบตุรกี เรียกว่า คัปปาโดเกีย ได้จดทะเบียนเป็นมรดกโลกของ UNESCO แล้ว และปัจจุบันมีหลายบริษัท ได้จัดนําเที่ยวโดยการนํานักท่องเที่ยวล่องชมบรรยากาศ ณ ท้องที่แห่งนี้ สถานที่เที่ยวหลักๆ นอกจากจะมีนครใต้ดินแล้วยังมีหุบเขา Devrent ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นหุบเขามโนคติที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นการก่อตัวของหินเป็นรูปทรงเหมือนสัตว์ ส่วนภูมิทัศน์เหมือนพระจันทร์สีแดง สร้างความรู้สึกให้ผู้พบเห็นเสมือนกําลังผจญภัยอยู่บนดวงจันทร์
หุบเขา Pasabag หรือที่เรียกว่าหุบเขาพระ เพราะมีปล่องไฟธรรมชาติ และหินรูปเห็ดอยู่บนยอด มองลงไป เหมือนหมู่บ้านโบราณ นอกจากนี้ยังมี Avanos หมู่บ้านผลิตเครื่องปั้นดินเผา และพรมทับท่อ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง Goreme ซึ่งเป็นที่ตั้งของซากอาคารโบราณและโบสถ์วิหาร ที่เรียงรายเป็นเนินเขา ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในมรดกโลกขององค์การ UNESCO ด้วย
สนับสนุนบทความโดย :: baccaratwallet