Sunday, 7 April 2024

เส้นทางสายไหม เครือข่ายเส้นทางการค้าที่เชื่อมต่อวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์โลก

01 Apr 2023
240

เส้นทางสายไหม

เส้นทางสายไหม (Silk Road) เครือข่ายเส้นทางการค้าโบราณที่เชื่อมระหว่างจีน ชมพูทวีป อินเดีย ตะวันออกกลางและยุโรปได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อราชวงศ์ฮั่นของจีนทำการค้ากับตะวันตกอย่างเป็นทางการ ในปี 130 ปีก่อนคริสต์ศักราช เส้นทางสายไหมถูกใช้จนถึงปี ค.ศ. 1453 เมื่อจักรวรรดิออตโตมันที่ได้คว่ำบาตรกับการค้าต่างประเทศและปิดเส้นทางดังกล่าวลงเป็นเวลาเกือบ 600 ปี ที่เส้นทางสายไหมเคยถูกใช้เพื่อการค้าระหว่างทวีปและเส้นทางนี้อยู่คู่กับการค้า วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มาจนถึงทุกวันนี้ และวันนี้ storymaker ขอนำเสนอ เส้นทางสายไหมเครือข่ายเส้นทางการค้าที่เชื่อมต่อวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์โลก จะมีอะไรไปดูกันเลย

เส้นทางสายไหม ต่อวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์โลก

1. เส้นทางเปอร์เซีย (Royal Road)

เส้นทางสายไหมได้เปิดเส้นทางการค้าระหว่างดินแดนตะวันออกกับชาวยุโรปอย่างเป็นทางการในช่วง ‘ราชวงศ์ฮั่น’ ซึ่งปกครองจีนตั้งแต่ 206 ปีก่อนคริสต์ศักราช จนกระทั่ง ค.ศ. 220 จากการที่จักรพรรดิฮั่นอวู่แห่งราชวงศ์ฮั่นได้ส่งนักการทูตชื่อดังอย่าง Zhang Qian เดินทางไปติดต่อกับแหล่งวัฒนธรรมในเอเชียกลางเมื่อ 138 ปีก่อนคริสต์ศักราช

เส้นทางเปอร์เซีย (Royal Road)

และในการเดินทางครั้งนี้ได้ถ่ายทอดข้อมูลอันมีค่าผ่านรายงานในบันทึกการเดินทางซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้คนและดินแดนมากมายในตะวันตก นอกจากนี้ยังพบว่าการขนส่งสินค้าและบริการในเส้นทางดังกล่าวมันเคยเกิดขึ้นมาก่อน

ย้อนกลับไปประมาณ 300 ปีก่อนที่เส้นทางสายไหมจะเปิดขึ้น เส้นทางเปอร์เซียหรือรอยัลโรดได้ดำเนินการมาก่อน นี่คือเส้นทางโบราณที่สร้างขึ้นโดย Darius the Great (Darius I) แห่งอาณาจักร Achaemenid ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช โดยเส้นทางแห่งนี้เชื่อมระหว่างเมืองซูซาหรือประเทศอิหร่านในปัจจุบันไปจนถึงซาร์ดิสหรือใกล้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในตุรกี

ชาวเปอร์เซียยังได้ขยายเส้นทางนี้เพื่อรวมเส้นทางย่อยๆเข้าไปด้วย เชื่อมต่อเมโสโปเตเมียกับอนุทวีปอินเดียและแอฟริกาเหนือผ่านอียิปต์ด้วย และเมื่ออเล็กซานเดอร์มหาราช ผู้ปกครองอาณาจักรมาซิโดเนียของกรีกโบราณก็ขยายอำนาจไปยังเปอร์เซียผ่านเส้นทางสายเปอร์เซีย จึงทำให้เส้นทางบางส่วนในการสัญจรของเขาจึงถูกรวมเข้ากับเส้นทางสายไหมในที่สุด

เส้นทางสายไหม

2. เส้นทางสายไหม

การเปิดเส้นทางสายไหมในช่วงศตวรรษที่ 1 และ 2 ก่อนคริสต์ศักราช ทำให้เส้นทางการค้าตะวันออกและตะวันตกระหว่างกรีกและจีนเริ่มคึกคักมากขึ้นจนส่งผลให้จักรวรรดิโรมันและจักรวรรดิ Kushan ได้รับผลประโยชน์จากการค้าที่สร้างขึ้นผ่านเส้นทางสายไหม สิ่งนี้ทำให้ชาวกรีกโบราณเรียกจีนในเวลานั้นว่าเซเรส ซึ่งแปลว่าดินแดนแห่งผ้าไหมนั่นเอง

อย่างไรก็ตามแม้จะมีความเชื่มโยงเกี่ยวข้องกันอย่างชัดเจนกับชื่อที่กล่าวถึง แต่คำว่า “เส้นทางสายไหม” ก็ยังไม่ถูกสร้างขึ้นในขณะนั้นจนกระทั่งปี 1877 เมื่อนักภูมิศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมัน อย่าง Ferdinand von Richthofen ใช้คำนี้เพื่ออธิบายเส้นทางการค้านี้เป็นครั้งแรก

เส้นทางสายไหมสู่ดินแดนจีน

3. เส้นทางสายไหมสู่ดินแดนจีน

เส้นทางสายไหมประกอบด้วยเครือข่ายที่กว้างขวางของสถานีการค้า ตลาด และทางสัญจรที่ออกแบบอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อลดความซับซ้อนของการกระจายการแลกเปลี่ยนการขนส่งและการจัดเก็บ เส้นทางนี้ขยายจากมหานครกรีก-โรมัน อย่างเมือง อันทิโอกตัดผ่านทะเลทรายซีเรียผ่านเมืองพัลไมราไปยังเมืองใหญ่สองเมืองคือ Ctesiphon ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ Parthianและ Seleucia เมืองแห่งอาณาจักรเมโสโปเตเมีย

และจุดเริ่มต้นจากเซลูเซียจะนำเส้นทางนี้ข้ามไปทางทิศตะวันออก ผ่านเทือกเขา Zagros ไปยังพื้นที่ Ecbatana และ Merv หรือประเทศอิหร่านและเติร์กเมนิสถานในปัจจุบัน ซึ่งจะรวมถึงเส้นทางเพิ่มเติมไปยังอัฟกานิสถานในปัจจุบันและเส้นทางที่ไปทางตะวันออกสู่มองโกเลียและจีนนั่นเอง

เส้นทางสายไหม

4. สินค้าบนเส้นทางสายไหมในประวัติศาสตร์

แม้ว่าชื่อ “เส้นทางสายไหม” จะมาจากความนิยมผ้าไหมจีนในหมู่พ่อค้าของอาณาจักรวรรดิโรมันและที่อื่นๆในยุโรป แต่วัสดุดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นเพียงการส่งออกที่สำคัญเพียงอย่างเดียวจากตะวันออกไปยังตะวันตกเพียงเท่านั้น การค้าขายตามเส้นทางสายไหมในสมัยนั้นซึ่งรวมถึงสินค้าต่างๆ เช่น ผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ เมล็ดพืช เครื่องหนัง เครื่องมือ วัตถุทางศาสนา งานศิลปะ เครื่องประดับ และโลหะ นอกจากนี้เส้นทางแห่งนี้ยังเป็นส่วนสำคัญของการแลกเปลี่ยนภาษา วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา ปรัชญา และวิทยาศาสตร์อีกด้วย

สำหรับสินค้าอย่าง กระดาษ และดินปืนที่ชาวจีนคิดค้นขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่นก็ส่งผลต่อวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ตะวันตกอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นหนึ่งในรายการที่มีการขายสินค้าระหว่างดินแดนตะวันออกและตะวันตกมากที่สุด

เส้นทางสายไหม

5. เส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง

เครื่องเทศที่เข้มข้นของตะวันออกได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในตะวันตกและได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหารทั่วยุโรป ในขณะเดียวกันเทคนิคการผลิตแก้วก็ได้แพร่หลายไปยังโลกตะวันออกจากโลกอิสลามสู่จีน สำหรับ “ดินปืน” แม้จะไม่ทราบที่มาของมันแต่มีการอ้างอิงถึงดอกไม้ไฟและอาวุธปืนในจีนตั้งแต่คริสต์ศักราชที่ 600 และนักประวัติศาสตร์ยังเชื่อว่าดินปืนถูกส่งออกไปตามเส้นทางสายไหมไปยังยุโรป ซึ่งดินปืนได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม สำหรับใช้ในปืนใหญ่ใน อังกฤษ ฝรั่งเศส และที่อื่นๆ ในช่วงทศวรรษที่ 1300

และด้วยเหตุนี้การส่งออกดินปืนจึงมีผลกระทบอย่างมากต่อประวัติศาสตร์การเมืองของยุโรปและแน่นอนว่าการมาถึงของ “กระดาษ” ในยุโรปก็นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมที่สำคัญเช่นกัน ซึ่งการเขียนได้กลายเป็นรูปแบบสำคัญของการสื่อสารมวลชนเป็นครั้งแรกไปจนถึงการพัฒนาแท่นพิมพ์ของ Gutenberg นักประดิษฐ์ชาวเยอรมัน ทำให้มนุษย์สามารถผลิตหนังสือได้เป็นจำนวนมากและต่อมาก็มีการเกิดขึ้นของ “หนังสือพิมพ์” ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารได้กว้างขวางขึ้น

เส้นทางสายไหม

6. การสำรวจทิศตะวันออก

เส้นทางสายไหมยังเปิดช่องทางสำหรับนักสำรวจที่ต้องการเข้าใจวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ของดินแดนตะวันออกให้ดียิ่งขึ้น มาร์โค โปโล นักสำรวจชาวเวนิส มีชื่อเสียงในการใช้เส้นทางสายไหมเพื่อเดินทางจากอิตาลีไปยังจีนในปี 1275 เมื่ออยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิมองโกเลีย มาร์โค โปโล ใช้เวลา 24 ปีในเอเชียทำงานให้กับราชสำนักของกุบไลข่านและเขากลับมาที่เวนิสบนเส้นทางสายไหมในปี 1295

การเดินทางผ่านเส้นทางสายไหมของเขากลายเป็นพื้นฐานสำหรับงานเขียนของเขาที่ชื่อว่า “การเดินทางของมาร์โคโปโล” ซึ่งทำให้ชาวยุโรปมีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการค้าและวัฒนธรรมของเอเชียได้มากยิ่งขึ้น

สนับสนุนดีๆจาก mostmuscular