Thursday, 7 March 2024

7 เมืองลึกลับใต้ดิน การตั้งถิ่นฐานที่น่าอัศจรรย์ในประวัติศาสตร์

03 Apr 2023
209

เมืองลึกลับใต้ดิน

แม้ว่าในปัจจุบันมนุษย์เราจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อช่วยในการขุดเจาะและสร้างเครือข่ายใต้ดินได้อย่างง่ายดาย แต่ในประวัติศาสตร์สิ่งเหล่านี้ก็เคยถูกสร้างด้วยน้ำมือของมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ตั้งแต่ที่หลบภัยไปจนถึงการสร้างเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และในวันนี้เรา storymaker จะพาไปสำรวจการตั้งถิ่นฐานที่น่าอัศจรรย์ที่เราได้คัดสรรมาให้ชมกันใน 7 เมืองลึกลับใต้ดิน การตั้งถิ่นฐานที่น่าอัศจรรย์ในประวัติศาสตร์ จะมีที่ไหนกันบ้างไปดูกันเลย

เมืองลึกลับใต้ดิน ในประวัติศาสตร์ มีที่ไหนบ้าง

1. Petra

เปตราเป็นเมืองกองคาราวานโบราณที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หุบเขาทางตอนใต้ของจอร์แดนระหว่างทะเลสาบเดดซีและทะเลอัคบา สถานที่แห่งนี้มีผู้อยู่อาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์และมีความเจริญรุ่งเรืองที่จุดสูงสุดเมื่อประมาณ 2000 ปีที่แล้ว เมื่อครั้งหนึ่งชาวนาบาเทียนชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายอาหรับได้ใช้ฝีมือทางด้านสถาปัตยกรรมทำการแกะสลักและสกัดหน้าผาหินทรายโดยรอบ ให้กลายเป็นสุสานห้องโถงขนาดใหญ่และวัดวาอารามอันตระการตา

Petra

นอกจากนี้เปตรายังเป็นเมืองโบราณที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่ของชาวตะวันออกกลางและมีประวัติอันยาวนานจนถึงช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาล สิ่งก่อสร้างที่งดงามที่สุดชิ้นหนึ่งก็คือ Al-Khazneh หรือคลังสมบัติของฟาโรห์ ซึ่งมีการแกะสลักอย่างประณีต ประกอบด้วยซุ้มที่ถูกตกแต่งที่ยื่นออกไปประมาณ 40 เมตร บนหน้าผาหินเปตรา อาจมีจำนวนผู้อยู่อาศัยอยู่สูงสุดถึง 20,000 คน

แต่ต่อมาก็ถูกทิ้งร้างในช่วงประมาณศตวรรษที่ 7 และเมืองนี้ก็ได้สูญหายไปเป็นเวลาหลายร้อยปี ความมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมนี้ถูกซ่อนไว้จนถึงช่วงศตวรรษที่ 1800 และเปตราก็ได้รับการลงทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1985 อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการขุดค้นในพื้นที่ยังคงดำเนินอยู่และนักวิชาการเชื่อว่าซากปรักหักพังส่วนใหญ่อาจจะยังซ่อนอยู่ใต้ดิน

Beijing Underground City

2. Beijing Underground City

ในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 ขณะที่ภัยคุกคามจากสงครามนิวเคลียร์ปรากฏขึ้น รัฐบาลจีนได้สั่งให้สร้างที่หลบภัยขนาดใหญ่มหึมาใต้เมืองหลวงของพวกเขาที่กรุงปักกิ่ง เมืองที่ขุดด้วยแรงงานแห่งนี้คาดว่าจะสามารถปกป้องผู้คนประมาณ 1 ล้านคน ได้นานถึง 4 เดือน ซึ่งประกอบไปด้วยห้องและอุโมงค์ที่ป้องกันการรั่วซึมเป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นในใต้ดินด้วยพื้นที่หลาย 10 ตารางกิโลเมตรเลยทีเดียว

มีรายงานว่าเส้นทางเดินบางสายมีขนาดใหญ่พอที่รถถังจะผ่านได้ ในขณะที่เส้นทางอื่นๆที่เป็นที่ตั้งของ โรงเรียน โรงพยาบาล ยุ้งฉาง ลานสเก็ตน้ำแข็ง สถานบันเทิงและอื่นๆที่ใช้ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น โรงภาพยนต์ขนาด 1,000 ที่นั่ง

ซึ่งแม้ว่าหลุมหลบภัยในปักกิ่งนี้ไม่เคยถูกใช้งานแต่อุโมงค์เก่าแก่ของมันก็ยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยซ่อนตัวอยู่ใต้เมืองที่มีทั้งที่อยู่อาศัยของประชาชนและแหล่งธุรกิจของเมือง พื้นที่เมืองใต้ดินแห่งนี้ส่วนใหญ่ถูกปิดตายแต่ก็เคยเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในช่วงสั้นๆเมื่อช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 นั่นเอง

Lalibela

3. Lalibela

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 กษัตริย์เอธิโอเปีย ผู้เคร่งศาสนาได้สั่งให้คนของเขาสร้างโบสถ์คริสต์ 11 แห่ง ที่สวยงามสะดุดตาในหมู่บ้านลาลิเบล่า ของประเทศเอธิโอเปีย สถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกรุงเยรูซาเล็มใหม่แห่งนี้มีความโดดเด่นในเรื่องของการสร้างพื้นที่จากด้านบนลงล่าง โดยโบสถ์ทั้งหมดจะถูกสกัดจากหินภูเขาไฟใต้พื้นผิวโลก จากนั้นจึงขุดเอาสิ่งต่างๆออกและทำให้ดูเหมือนว่าพวกมันได้งอกขึ้นจากพื้นดินโดยตรง

อาคารที่โดดเด่นที่สุดก็คือโบสถ์รูปไม้กางเขน Church of Saint George ซึ่งถูกแกะจากหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งภายในคูน้ำลึก 30 เมตร จากนั้นจึงเชื่อมต่อกับส่วนอื่นๆของอาคาร ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายทางเดินใต้ดิน ถ้ำที่ซ่อนอยู่ และสุสานใต้ดิน ตามตำนานเล่าว่าการก่อสร้างลาลิเบล่าใช้เวลาถึง 24 ปี แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่าจริงๆแล้วพวกเขาทำการสร้างเสร็จทีละสเต็ปภายในช่วงเวลาหลายศตวรรษ ในปัจจุบันหมู่บ้านนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และศาสนสถานใต้ดินแห่งนี้ยังคงดึงดูดผู้แสวงบุญมากถึง 100,000 คน ในแต่ละปี

Wieliczka

4. Wieliczka

เหมืองเกลือ Wieliczka ของโปแลนด์ยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อวิหารเกลือใต้ดิน ซึ่งตั้งอยู่ในแถบชานเมืองกากรุ๊ป สถานที่นี้เป็นอาคารใต้ดินขนาดใหญ่ที่ห้อง มีทางเดิน และรูปปั้นมากมาย Wieliczka มีอายุย้อนไปถึงช่วงศตวรรษที่ 1200 เมื่อคนงานเหมืองได้ลงไปใต้พื้นผิวโลกเป็นครั้งแรก เพื่อค้นหาเกลือสินเถาว์และในศตวรรษต่อมาพวกเขาก็ค่อยๆแกะสลักเมืองให้กลายเป็นห้องจัดแสดงและอุโมงค์ที่ยาวกว่า 300 เมตร ใต้ดิน

เมื่อคนงานในเมืองเลิกการขุดหาทองคำขาว พวกเขาก็ได้ใช้ผลึกเกลือที่สะสมอยู่ในเหมืองเพื่อสร้างคอลเลกชั่นงานศิลปะไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์ โคมไฟระย้า รูปปั้น และประติมากรรมนูนต่ำที่น่าทึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือผลงานแบบจำลองจากภาพวาดของดาวินชี ที่ชื่อเดอะลาสซับเปอร์ เหมืองเกลือเวียลิกซ์กาหยุดผลิตเกลือในปี 2007 หลังจากดำเนินการมาประมาณ 700 ปี แต่ก็ยังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในโปแลนด์

Naours

5. Naours

เมืองใต้ดิน Naours ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของฝรั่งเศสมีอุโมงค์ที่ทอดยาวกว่า 3 กิโลเมตร และห้องที่มนุษย์สร้างขึ้นมามากกว่า 300 ห้อง สถานที่นี้เริ่มสร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 3 โดยเป็นส่วนหนึ่งของเหมืองหินของชาวโรมัน แต่ต่อมาก็ได้ขยับขยายกลายเป็นหมู่บ้านใต้ดินหลังจากที่ชาวบ้านเริ่มใช้เป็นสถานที่หลบซ่อนระหว่างสงครามและการรุกรานในยุคกลาง เมื่อความเจริญถึงจุดสูงสุดเมืองแห่งนี้ก็มีผู้อยู่อาศัยอยู่กว่า 3,000 คน ซึ่งแต่ละครอบครัวจะสามารถมีห้องสวดมนต์ คอกม้า บ่อน้ำ และเตาผิงเป็นของตัวเองได้อีกด้วย

ในเวลาต่อมาเมืองใต้ดิน Naours ถูกปิดตายเป็นเวลาหลายทศวรรษก่อนที่จะถูกเปิดอีกครั้งในศตวรรษที่ 19 เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และผู้เยี่ยมชมยังสามารถเห็นภาพวาดมากกว่า 2,000 ชิ้น ที่ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งเอาไว้ ซึ่งทหารเหล่านี้หลายคนก็ได้ร่วมต่อสู้ในสมรภูมิที่ซ้อมและบริเวณใกล้เคียงนั่นเอง

Derinkuyu

6. Derinkuyu

แม้ว่าแหล่งหินภูเขาไฟของภูมิภาคคับปาโดเกียของตุรกีนั้นเต็มไปด้วยเมืองใต้ดินหลายแห่ง แต่อาจไม่มีเมืองไหนที่กว้างใหญ่หรือน่าประทับใจเท่า Derinkuyu คอมเพล็กซ์เขาวงกตนี้สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล และว่ากันว่ามันถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่หลบภัยในช่วงสงครามและการรุกราน

และด้วยเหตุนี้เองการตกแต่งภายในที่มีความสูง 18 ชั้น จึงเป็นการออกแบบเป็นเมืองที่มีทุกอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นปล่องระบายอากาศ บ่อน้ำ ห้องครัว ห้องเรียน โรงกลั่นน้ำมัน โรงอาบน้ำ โรงกลั่นเหล้าองุ่น และพื้นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้คนราว 20,000 คน เมื่อถูกคุกคามจากการโจมตีในแต่ละชั้นของเมืองก็จะถูกปิดตายให้อยู่หลังประตูหินขนาดใหญ่

นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าชาวฮิตไท้หรือชาวฟีเจี้ยนเป็นหนึ่งในผู้สร้างกลุ่มแรกสุดของ Derinkuyu แต่ภายหลังก็ถูกยึดครองและทำการขยายเมืองโดยกลุ่มอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงชาวคริสต์ยุคไบเซนไทน์ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ทิ้งผลงานจิตรกรรมฝาผนังและโบสถ์ใต้ดินไว้ในที่แห่งนี้มากมาย

แม้จะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานแต่เมืองแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้างและไม่มีใครค้นพบอีกจนกระทั่งช่วงทศวรรษที่ 1960 ชายท้องถิ่นคน หนึ่งบังเอิญเจออุโมงค์บางส่วนในขณะที่กำลังปรับปรุงบ้านของเขาเองและนั่นก็นำไปสู่การค้นพบเหมืองใต้ดินที่หายสาบสูญไปนาน

Orvieto

7. Orvieto

Orvieto เป็นเมืองบนยอดเขาของอิตาลีที่ขึ้นชื่อเรื่องไวน์ขาวและสถาปัตยกรรมที่งดงาม แต่สิ่งมหัศจรรย์ที่ลึกลับที่สุดของเมืองนั้นกลับอยู่ใต้ดิน ย้อนไปตั้งแต่ยุคของชาวอินทุดกันที่ได้ขุดเส้นทางลึกเข้าไปในหน้าผาหินภูเขาไฟจนเกิดเป็นเขาวงกตใต้ดินที่ถูกเจาะเป็นครั้งแรกก็เพื่อสร้างบ่อน้ำและบ่อเก็บน้ำ

แต่ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านไปมันก็เติบโตขึ้นจนเป็นอุโมงค์เป็นถ้ำและห้องแกลอรี่ที่มีเส้นทางเชื่อมต่อกันมากกว่า 1,200 แห่ง เมืองใต้ดินของออลบิโตมักถูกใช้เป็นที่หลบซ่อนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยที่พื้นที่บางส่วนผู้คนจะใช้เป็นที่กำบังระเบิดในขณะนั้น

สนับสนุนโดย 12betsiam